The Westin Singapore – 7 มิถุนายน 2566 : นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และคณะฯ พร้อมด้วยผู้นำองค์กรพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในระบบนิเวศ นำโดย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กรมสรรพากร และ แมคคินซี่ ได้เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ เพื่อร่วมเวทีการประชุมเครือข่ายนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ SVCA Conference 2023 ที่จัดโดย สมาคมผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุนสิงคโปร์ หรือ SVCA – Singapore Venture Capital & Private Equity Association เพื่อเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ และทั่วโลกให้มาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งในปีนี้เวที SVCA Conference 2023 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Asia and the World: Inside The Dynamics of a Changing Relationship" หรือ "เอเชียและโลก: ภายในพลวัตของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป" พร้อมกันนี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลฯ ได้ร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หัวข้อ Building Successful Businesses in Southeast Asia ร่วมกับ Mr.Kwa Chong Seng Former Chairman of SGX and ST Engineering อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange - SGX) และบริษัท ST Engineering โดยมีนักลงทุนที่ลงทุนในสตาร์ตอัปเข้าร่วมฟังกว่า 200 คน ประกอบด้วย Venture capital (VC), Private equity (PE) และ Family Office นอกจากนี้ สภาดิจิทัลฯ และคณะจากภาครัฐและเอกชน ยังได้พบกับ Sequoia Capital ซึ่งเป็นหนึ่งใน VC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึง VC แถวหน้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลฯ ได้แบ่งปันมุมมองบนเวที SVCA Conference 2023 โดยระบุว่า โลกปัจจุบันกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงหลายขั้วในภูมิทัศน์โลก 2) ความเหลื่อมล้ำและความมั่นคงทางอาหาร 3) ความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 4) การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลด้วย AI, IOT ผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายใหม่ 5) พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนสู่อีคอมเมิร์ซ ประกอบด้วย C2C, Metaverse และ Social Media และ 6) สังคมสูงวัย และการดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้ ประธานสภาดิจิทัลฯ ได้กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายในระดับโลกได้ คือ การทรานส์ฟอร์มประเทศไทย ขับเคลื่อนประเทศสู่ยุค 5.0 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านดิจิทัล มีพันธกิจยุทธศาสตร์สำคัญใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) การกำหนดมาตรฐานและตัวชี้วัดด้านดิจิทัล 2) การสร้างความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน 3) การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล 4) การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และ 5) การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค รวมทั้งการขับเคลื่อนด้านสังคมและวัฒนธรรมดิจิทัลของประเทศชาติ
“ปัจจุบัน สภาดิจิทัลฯ มีความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ในด้านการลงทุนและกำลังคนในมิติอื่นๆ อาทิ มาตรการยกเว้นภาษี หรือ Capital Gains Tax เป็นเวลา 10 ปี แก่นักลงทุนไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสตาร์ตอัปไทย ภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน ส่งเสริมให้สตาร์ตอัปไทยสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้เพิ่มขึ้น เสริมสร้างการลงทุน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมทั้ง ภาษีเงินได้ 17% สำหรับชาวต่างชาติทักษะสูง เมื่อทำงานในไทย ตลอดจน การส่งเสริมให้เกิดการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นใหม่สำหรับ Startup และ SME ภายใต้ชื่อ LIVE EXCHANGE และสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับค่าการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะลูกจ้าง และการจ้างงานสายเทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้ สภาดิจิทัลฯ มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมผลักดันให้เกิดนโยบาย และมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน” ประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าว
นอกจากนี้ ประธานสภาดิจิทัลฯ ได้กล่าวเน้นย้ำในจุดแข็งของประเทศไทยที่มีความได้เปรียบในการเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการลงทุน เพราะมีตลาดหุ้นที่เข้มแข็ง (Capital Market) บ่งชี้ได้จากในปี 2565 มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในอาเซียน และยังเป็นประเทศที่ที่มีการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นออกใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ Initial Public Offering (IPO) ได้สูงสุดในอาเซียน โดยมีมูลค่ารวมถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์ จากการระดมทุน IPOs 42 ครั้งในปี 2565 นอกจากนั้น ยังมีการขับเคลื่อนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประเทศไทยจัดอยู่ใน Top-10 ด้านการเป็น EV hub ที่มีประสิทธิภาพของโลก 2) การเป็นฮับของอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในภูมิภาคอาเซียน (New Smart Electronic Hub) 3) การมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางการแพทย์ (Medical Hub) 4) ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร (Agriculture and Food) อย่างแข็งแกร่ง รวมไปถึงการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง เนื่องจากมีการเชื่อมต่อกับกลุ่มอาเซียนในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CLMV) จีน และอินเดีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อมุ่งสู่ศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค อีกทั้งเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
นอกเหนือจากการร่วมเวทีประชุม SVCA Conference 2023 ประธานสภาดิจิทัลฯ และคณะจากภาครัฐและเอกชน ยังได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเครือข่ายนักลงทุนของ SVCA ที่เป็น VC ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย Openspace Ventures, Monk's Hill Ventures, GIC, Dymon Asia PE และ Pavilion Capital และได้มีการเข้าพบผู้บริหาร Sequoia Capital ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน VC ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการลงทุน (Asset under management) กว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนระยะเริ่มต้น (Seed) ของธุรกิจระดับโลก เช่น Apple, Google, Instagram, LinkedIn, PayPal, WhatsApp และ Zoom เป็นต้น โดยได้เข้าพบ “Mr. Abheek Anand” Managing Director at Sequoia Capital, Southeast Asia เพื่อหารือในการเชิญชวนมาลงทุนในประเทศไทย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย รวมทั้งแนวทางส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยในมุมมองจากนักลงทุนต่างชาติ
“สิงคโปร์และไทยต่างเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกัน และเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็ว ปัจจุบันสิงคโปร์มีสตาร์ตอัปกว่า 50,000 ราย ขณะที่ประเทศไทยมีสตาร์ตอัปค่อนข้างน้อย คือมีประมาณ 1,000 รายเท่านั้น สตาร์ตอัปไทยมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ราย หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนที่เหมาะสม และเมื่อนั้น VC ก็จะเข้าลงทุนในสตาร์ตอัปไทย ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง” ประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าว
SVCA Conference 2023 จัดขึ้นโดยสมาคมผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุนสิงคโปร์ (Singapore Venture Capital & Private Equity Association (SVCA)) เป็นงานสำคัญที่รวบรวมนักลงทุนในสตาร์ตอัปที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลที่ครอบคลุมและเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมและวางแผนการลงทุนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับผู้นำด้านการลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมและเสวนาส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต