21 มกราคม 2565 ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับฟังการรายงานความคืบหน้าจากนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ DCT และเครือข่ายพันธมิตร ถึงความสำเร็จในการบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากร ในการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยกเว้น ภาษี Capital Gains Tax สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติตามข้อเสนอของสภาดิจิทัลฯเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นหนึ่งในมาตรการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพของไทย รวมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถประกาศใช้กฎหมายนี้ได้ประมาณไตรมาสแรกของปีนี้
ในการนี้
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาดิจิทัลฯได้รายงานต่อที่ประชุม ศบศ. ถึงความคืบหน้าในการดำเนินการที่สภาดิจิทัลฯ
ได้ร่วมกับกรมสรรพากร และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ สวทช.
NIA และ ก.ล.ต. เพื่อจัดทำร่าง พ.ร.ฎ.ยกเว้น ภาษี Capital Gains Tax
สำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย
โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของกรมสรรพากรในการดำเนินการเสนอร่าง
พ.ร.ฎ. ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้สภาดิจิทัลฯได้เสนอให้มีการจัดโรดโชว์นำทัพโดยนายกรัฐมนตรี
เพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ไปยังกลุ่มนักลงทุนและกลุ่มสตาร์ทอัพที่เป็นเป้าหมายตลอดปี
รวมถึงการผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ เกษตรกร ประมง รวมถึง Soft
Power ด้านภาพยนตร์
กีฬา และ E-Sport พร้อมการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประกอบการในเรื่องต่าง
ๆ เช่น มีที่ปรึกษาในการตอบคำถาม การช่วยประสานงานกับภาครัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงข้อมูลและคู่มือการใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เป็นต้น ทั้งนี้สภาดิจิทัลฯได้เชื่อมั่นว่ามาตรการยกเว้นภาษี Capital Gains Tax และแนวทางส่งเสริมดังกล่าวนี้จะสร้างสตาร์ทอัพไทยรายใหม่เป็นจำนวนถึง
5,000 รายในปี 2565 ถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
ที่เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน
“ถือเป็นความสำเร็จ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน
สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในประเทศไทย นับจากนี้ สภาดิจิทัลฯ จะเร่งดำเนินการประสานและร่วมทำงานในการออก
พ.ร.ฎ. ฉบับนี้อย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันนโยบายส่งเสริมการลงทุน
ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม
และสตาร์ทอัพแก่ผู้ประกอบการไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้นอกเหนือจากภาพการลงทุนแล้ว สภาดิจิทัลฯ
ยังคงให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนา Ecosystem
ให้แข็งแกร่ง โดยจะเน้นพัฒนากำลังคนดิจิทัลให้เทียบเท่าระดับสากล
คือ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาทักษะดิจิทัลในกลุ่มทักษะขั้นสูง 3.5 ล้านคนภายในปี 2570 โดยจะมีการสร้างมาตรฐานและใบรับรองหลักสูตรสำหรับทักษะดิจิทัลขั้นสูง
โดยจะส่งเสริมการพัฒนาทักษะของกำลังคน การพัฒนาแพลตฟอร์มและคอนเทนต์ที่ได้รับการรับรอง
สนับสนุนให้มีการเลือกเรียนในสาขาดิจิทัลขั้นสูงมากขึ้น
รวมทั้งการดึงผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการพัฒนาและเพิ่มจำนวนกลุ่มแรงงานดิจิทัลขั้นสูงในอนาคต”
นายศุภชัยกล่าว
ทั้งนี้
ศบศ. ได้เห็นชอบในมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ และได้มอบหมายให้สภาดิจิทัลฯ กระทรวงการคลัง
และกรมสรรพากร หาข้อสรุปในการในการปรับปรุง พ.ร.ฎ.
ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ปี 2559 (ฉบับที่
597) และปี 2560 (ฉบับที่ 636) เพื่อรายงานความคืบหน้าให้ฝ่ายเลขาฯ และ ศบศ. ภายใน
30 วัน
อีกทั้งยังมอบหมายให้ทางสภาดิจิทัลฯเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
กระทรวงศึกษาธิการ กระทรงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อร่วมกันบูรณาการและกำหนดแนวทางพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลของประเทศ
ด้าน
นายศรัณย์ สุตันติวรคุณ นายกสมาคม Thai Venture
Capital Association (TVCA) และหุ้นส่วนบริหาร N-Vest
Venture Co., Ltd กล่าวว่า “พ.ร.ฎ.การยกเว้นภาษี Capital Gains
Tax ฉบับนี้ถือว่าเป็นสร้างสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการส่งเสริมศักยภาพการลงทุนให้กับสตาร์ทอัพและ
Tech companies ได้อย่างมาก อีกทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ
อาจไม่ใช่ปัจจัยดึงดูดให้ต่างชาติย้ายฐานการลงทุนมาประเทศไทยในทันที
แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตสู้กับประเทศอื่นได้
และจะทำให้สตาร์ทอัพไทยสามารถดึงบุคลากรที่มีศักยภาพจากทั่วโลกมาร่วมสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย”
ขณะที่
นางณิชาภัทร อาร์ค Director & Thailand Coverage, Openspace
Ventures ตัวแทนจากผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ กล่าวว่า “การยกเว้นภาษี
Capital Gains Tax นี้จะช่วยดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
ซึ่งการตัดสินใจเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพจะพิจารณาหลายปัจจัย
ตั้งแต่แผนธุรกิจและศักยภาพของสตาร์ทอัพ ขนาดของตลาด (Market Size) การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน
รวมถึงการพิจารณาเรื่องนโยบายภาษีของประเทศที่จะเข้าลงทุนด้วย ดังนั้นมองว่า
เป็นเรื่องที่ดีในการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนครั้งนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด”
ทั้งนี้ “สภาดิจิทัลฯ” ยังคงเดินหน้าในการให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในประเทศไทย
ซึ่งถือว่าครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่ดีในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงของทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง,
ภาคเอกชน พร้อมทั้งกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสภาดิจิทัลฯ
จะดำเนินการผลักดัน พ.ร.ฎ. ยกเว้น ภาษี Capital Gains Tax ให้ออกมาเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ในมิติต่าง ๆ
ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยอย่างยั่งยืนต่อไป