เมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ เป็นประธานการประชุม คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาเกษตรกรแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ เพื่อหารือถึงข้อเสนอแนะ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของภาคธุรกิจเอกชนจากการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
รูปภาพจาก กรุงเทพธุรกิจ
ภายในการประชุมดังกล่าว นาย ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ในฐานะหนึ่งในกรรมการคณะที่ปรึกษาฯ ได้ร่วมให้ข้อเสนอแนวทางการวางแผนเพื่อรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยการนำดิจิทัลและเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้ดังนี้
นอกจากนี้ นายศุภชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีสถานะการเงินที่แข็งแรง โดยมีเงินสำรองคงคลังสูง และหนี้สาธารณะต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ จึงนับว่าเป็นปัจจัยที่ดีและสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศสามารถฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบในช่วงแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในการวางแผนเพื่อรองรับและกำหนดมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทั้งด้านการท่องเที่ยว ด้านการเกษตร ซึ่งต่างเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมการนำเข้า ส่งออกสินค้าหลายประเภท รวมถึงอาจพบกับสภาวะภัยแล้ง น้ำท่วม ที่จะทำให้เกิดปัญหาทับซ้อน จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนรองรับไปถึงปีหน้าด้วย อีกทั้งกลุ่มธนาคารที่เป็นหน่วยสำคัญที่จะช่วยวิเคราะห์มาตรการกำหนดข้อเสนอช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชน อันนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ขณะที่ เรื่อง GDP นั้น หลายประเทศทั่วโลกได้วิเคราะห์ว่า หากสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ภายใน 2 เดือน จะยังไม่สร้างผลกระทบมากนัก แต่หากไม่สามารถควบคุมได้ภายใน 4 เดือน จะติดลบถึง 7.4% ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก โดยทั้งสถาบันที่ปรึกษา Mckenzie และมหาวิทยาลัย Oxford สหรัฐอเมริกา มีการวิเคราะห์เรื่องการว่างงาน (Unemployment) ว่าจะสูงถึง 2-3%
โดยสำหรับประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องดูแลเรื่อง Productivity ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้ผลผลิตมีปริมาณและมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ดูแลระบบ SME ตลอดจนกลุ่มของเกษตรกร ควบคู่ไปกับการดูแลสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งหากนำ 10% ของ GDP ของประเทศ คือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท มาเป็นฐานกำหนดแนวทางการวางแผนร่วมกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เน้นที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การปรับระบบภาษี ดึงดูดการลงทุน พร้อมกำหนดแผนการฟื้นฟู (Recovery Plan) โดยวางแผนล่วงหน้า 2-3 ปี ควบคู่กับแผนการป้องกันการกลับมาของไวรัสโควิด-19 ด้วย จะสามารถพยุงและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ ภาคประชาชน และเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน